วงการมวย ของ การเล่นกีฬาของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

สำหรับนักกีฬาไทยแล้ว กีฬามวยนับเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่นักกีฬาไทยสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้มากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระมหากรุณาธิคุณกับวงการมวยมาโดยตลอด โดยจะเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานทอดพระเนตรการชกของนักมวยไทยกับนักมวยต่างชาติหลายต่อหลายครั้ง เช่น การชกระหว่าง โผน กิ่งเพชร กับ ปาสคาล เปเรซ นักมวยชาวอาร์เจนตินา เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2503สนามมวยเวทีลุมพินี ซึ่งผลการชก โผนสามารถเอาชนะคะแนนเปเรซไปอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ ได้ครองตำแหน่งแชมป์โลกเป็นคนแรกของไทย หรือการชกระหว่าง ชาติชาย เชี่ยวน้อย กับ แอฟเฟรน ทอร์เรส นักมวยชาวเม็กซิกัน เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2513 ณ สนามกีฬากิตติขจร (ปัจจุบันคือ อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก) ผลการชก ชาติชายเป็นฝ่ายคะแนน ได้ครองแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 2 เป็นต้น ซึ่งหลังจากการชกทุกครั้ง จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นักมวยเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด และมีพระราชปฏิสันธานอย่างเป็นกันเองและห่วงใย และจะพระราชทานเข็มขัดแชมป์โลกให้ด้วย

และเมื่อครั้งที่ แสน ส.เพลินจิต เดินทางไปป้องกันตำแหน่งแชมป์โลก ณ เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น กับฮิโรกิ อิโอกะ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2538 ผลการชกแสนเอาชนะน็อกไปได้ในยกที่ 10 หลังการพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงส่งพระราชสาสน์ผ่านทางกงสุลไทย ณ เมืองโอซากา ความว่า พระองค์ทอดพระเนตรการชกของแสนอยู่ผ่านทางโทรทัศน์ ทรงชมว่าแสนชกได้ดี ยังความปลาบปลื้มแก่แสนและคณะเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้แล้ว เมื่อ สมรักษ์ คำสิงห์ ชนะเลิศในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นรุ่นเฟเธอร์เวท ในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 26 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2539 ก่อนชกในรอบชิงชนะเลิศ สมรักษ์ให้สัมภาษณ์ว่า จะคว้าชัยชนะให้ได้ เพื่อนำเหรียญทองกลับไปร่วมสมโภชเป็นส่วนหนึ่งในงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ซึ่งเป็นวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ครบ 50 ปีด้วย และเมื่อสมรักษ์สามารถเอาชนะได้ ได้ครองเหรียญทองโอลิมปิกเป็นครั้งแรกของนักกีฬาไทย สมรักษ์ได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าถวายเหรียญทองประวัติศาสตร์เหรียญนี้แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชด้วย